ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาชมเว็บบล็อกนี้นะค่ะ...

ตัวช่วยค้นหา

ภาระงานของนักเรียน

กิจกรรม
1. นักเรียนสมัคร E-mail เป็นของตนเอง
2. นักเรียนส่งจดหมายถึงครูทางอินเทอร์เน็ต โดยตอบคำถาม 3 ข้อ คือ
- นักเรียนสมัคร E-mail ที่ไหน
- นักเรียนสมัคร E-mail ด้วยตนเองหรือมีเพื่อนช่วย
- นักเรียนมีความยุ่งยากหรือสนุกสนานในการส่ง
3. นักเรียนนำเสนอ E-mail Address จาก Web site ที่สมัครว่าคุณสมบัติเป็นอย่างไร เก็บข้อมูลได้มากน้อยเพื่ออะไร
นำเสนอหน้าชั้นเรียน
แล้วส่งมาที่เมล์ของครู

Muai10000@hotmail.com

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ


ยินดีต้อนรับนักเรียนเข้าสู่เว็บไซต์ของครูจิตติมา จ้า

เชิญอ่านหน่อย

หากโลกแตก สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากทำคือ… ?
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
หนังสือพิมพ์ข่าวสด หลังองค์กรวิจัยนิวเคลียร์ (European Organization for Nuclear Research) แห่งยุโรป หรือ เซิร์น (CERN) ประกาศว่าจะดำเนินการทดลองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก เพื่อถอดรหัสของโลกเชิงกายภาพ และไขปัญหาว่าเอกภพประกอบขึ้นด้วยอะไร รวมถึงค้นหาคำตอบว่า จักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยการทดลองดังกล่าว จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 กันยายนนี้ บริเวณพรมแดนประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส แถบนครเจนีวา ซึ่งได้มีการสร้างอุโมงค์ขนาดยักษ์ขดเป็นวงกลมยาว 18 ไมล์ ลึก 300 ฟุต และทำการหย่อนเครื่องเร่งความเร็วอนุภาคขนาดใหญ่ หรือ Large Haldron Collider (LHC) ที่ใช้เวลาสร้างกว่า 19 ปี ลงไป ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อวนใต้ดิน ความยาวประมาณ 27 กิโลเมตร และอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 175 เมตร ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคด้วยแม่เหล็กนับร้อยๆ ตัว จากคนละด้านของท่อ ให้อนุภาคโปรตอนวิ่งเข้าชนกัน ด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง ซึ่งเป็นเหมือนการจำลองการเกิดบิ๊กแบงนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่า อาจก่อให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่กลืนพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกหายไปทั้งหมด ขณะที่ "เซิร์น" ออกมาโต้ว่า ไม่มีทางที่หายนะจะเกิดขึ้นกับโลกแน่นอน เพราะการเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี เป็นการเร่งให้อนุภาคชนกันก็จริง แต่การชนกันของ "อนุภาคโปรตอน" ชนกันที่ระดับใกล้ความเร็วแสงนี้ มีพลังน้อยกว่าอนุภาคที่ชนกันในธรรมชาติเป็นอย่างมาก และหากการชนกันของอนุภาคทำให้โลกหายนะแล้ว การชนกันของอนุภาคในธรรมชาติของโลก ที่เกิดขึ้นยาวนานกว่าหมื่นล้านปี นับตั้งแต่เกิดบิ๊กแบงก์เมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน ก็จะทำให้โลกวินาศไปนานแล้ว นอกจากนี้ รังสีคอสมิกที่มาจากนอกโลก อันเกิดจากการชนกันของอนุภาค จนเกิดพลังงานที่สูงกว่าเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีมาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้เกิดผลร้ายแก่โลกแต่อย่างใด อูย... คิดแล้วก็ยังหวั่นๆ ว่าไหมคะ เอ... แล้วถ้าหาก (สมมตินะคะ) โลกต้องแตกจริงๆ ทุกอย่างต้องดับสูญ สิ่งสุดท้ายที่เพื่อนๆ อยากทำที่สุดคืออะไร

หมวยกับที่ต่างๆ

06 กันยายน 2551

5 วิธี...เพิ่มความดูดีและน่ารัก

เวลาพูดถึงคำว่า "บุคลิกภาพ" มักมีคำว่า "เสน่ห์" รวมอยู่ด้วยทุกครั้ง และการจะมีเสน่ห์ได้ คนๆ นั้น จะต้องทำตัวให้ดูน่ารักด้วย วันนี้เรามี 5 วิธี เพิ่มความน่ารักให้ตัวเองมาฝากกัน
1. อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว
แน่นอนว่าคนจะน่ารักได้ ต้องดูแลให้ตัวเองดูดีด้วย ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า จะต้องแต่งสวยหล่อกันเต็มที่ แค่เพียงอย่างปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป แม้หน้าตาไม่สวยหล่ออย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากมีความเกลี้ยงเกลา สะอาด และดูสุขภาพดี ก็ย่อมเป็นที่สะดุดตาน่ามอง ยิ่งรักษาหุ่นให้ดีเข้าไว้ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
ทรงผมก็สำคัญ ถ้าเข้ากับรูปหน้าและยุคสมัย ใช้การแต่งกายมาเสริมความน่ารัก โดยเฉพาะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับต่างๆ หากเลือกได้อย่างเหมาะสมก็ช่วยเพิ่มความน่ามอง และน่าประทับใจได้อีกด้วย
สุภาพสตรีควรแต่งหน้าเพื่อความเรียบเนียนและสวยงาม พยายามใช้สีใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไม่แต่งหน้าจัด แต่เคล็ดลับก็คือ เน้นสิ่งที่สวยที่สุดบนใบหน้าให้เด่นเด้งขึ้นมา เช่น หากรู้ว่าตาสวย จงแต่งตาให้ยิ่งสวย จะด้วยอายแชโดว์เพิ่มความคมโตน่ามอง กรีดอายไลเนอร์เพื่อความโฉบเฉี่ยว ก็ย่อมได้ แต่ต้องไม่รุงรังหรือดูปรุงแต่งมากนัก
หากจมูกสวยอยู่แล้ว ก็เพิ่มความเด่นด้วยเฉดดิ้งกับไลต์ให้จมูกยิ่งโด่ง และเด่นขึ้น หรือถ้ามีปากสวย ก็เลือกลิปสติกสีสวย กลมกลืนกับเสื้อผ้าหน้าผมในวันนั้น มาทาลงไปจะให้ดูเอิบอิ่ม
ที่สำคัญคือกลิ่นกาย หากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาเตะจมูกยามที่อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกน่าประทับใจ ควรเลือกน้ำหอมกลิ่นที่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณ หรือง่ายที่สุด เลือกกลิ่นที่คุณชอบ ซึ่งหมายถึงกลิ่นที่คุณอยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นกลิ่นกายของคุณนั่นเอง ฉีดตามจุดสำคัญๆ พอประมาณ เพื่อให้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่าให้มากจนหอมฉุน
ที่หลายคนไม่ค่อยระวังก็คือ กลิ่นเท้า โดยเฉพาะสุภาพบุรุษทั้งหลาย กลิ่นเท้าก็ดี กลิ่นถุงเท้าก็ดี กลิ่นรองเท้าก็ดี ควรหมั่นตัดเล็บเท้าให้สั้น สะอาด ทำความสะอาดเท้าทุกวัน และตรวจดูว่าตัวเองเป็น "โรคเท้าเหม็น" หรือไม่ หากเป็นจะได้ทำการรักษาให้ทุเลาลง
2. พูดจาให้น่ารัก
จะให้น่ารักน้ำเสียงต้องไพเราะ ไม่ต้องดัดเสียง ทำเสียงสูง แอ๊บแบ๊ว หรือเสียงดังเรียกร้องความสนใจ แต่พูดจากความรู้สึกจริงๆ จริงใจ และสุภาพ พูดด้วยจังหวะที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เสียงดังพอเหมาะแก่การฟัง มีหางเสียง ค่ะ ครับ และพูดให้ชัดเจน ถูกอักขรวิธี ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ วรรคตอน ต้องถูกต้องเพื่อให้การสื่อสารไม่ผิดพลาด
ที่สำคัญพูดแล้วต้องมีประเด็น มีเป้าหมายในการพูด เช่น พูดเพื่อให้สบายใจ พูดเพื่อแสดงความเป็นกันเอง ลดความประหม่าตื่นเต้นหรือความรู้สึกแปลกหน้าให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง พูดเชิญชวน พูดจูงใจ พูดเพื่อบอกกล่าวเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือแม้แต่พูดเพื่อให้คนฟังสนุก เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของการพูด ซึ่งจะทำให้การพูดแต่ละครั้งมีคุณค่า เหมาะสมแก่กาลเทศะนั้นๆ และคนฟังไม่เบื่อ ไม่รำคาญ
3. มีท่าทีที่น่ารัก
ท่าทีที่น่ารักก็คือ ความสุภาพ ผ่อนคลาย ให้เกียรติ ไม่เหยียดหยามด้วยสีหน้า แววตา คำพูด หรือภาษากายอื่นๆ เช่น ยืนกอดอกด้วยท่าทีระวังตัว จ้องตาเขม็ง มองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หรือมองด้วยหางตาอย่างหมิ่นแคลน เหล่านี้เป็นต้น
คนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูจริงใจ และเป็นมิตร จะมีแรงดึงดูดให้คนเข้าหา เขาจะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย ความเป็นกันเอง การเปิดกว้าง และการให้เกียรติที่คุณสื่อสารผ่านท่าทาง เขาจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คุณ สบายใจและสุขใจที่จะสนทนาด้วย และจดจำได้ว่าคุณน่ารักแค่ไหน
4. มีจิตใจที่น่ารัก
จิตใจที่ดีต้องไม่เย่อหยิ่ง กว้างขวาง คบหาได้ทุกเพศ วัย ทุกอาชีพด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นรวมถึงความซื่อสัตย์และความไว้ใจได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นคบหาเราด้วยความจริงใจ และให้เกียรติเช่นเดียวกัน
จิตใจที่ดีจะส่งผ่านการกระทำที่น่ารัก เช่น ยิ้มหวาน รู้จักทักทาย กล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ คิดถึง เป็นห่วง และรัก ได้อย่างเต็มใจ จริงใจ และน่าประทับใจ จงจำไว้ว่า อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไร จงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อนเสมอ
5. มีธรรมชาติและมารยาทที่น่ารัก
มีมารยาทตามกาละเทศะ หากอยู่ในที่สาธารณะเจอผู้ใหญ่ก็ต้องยกมือไหว้ เดินผ่านผู้ใหญ่ก็สำรวม เก็บอาการ และให้เกียรติ ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ไม่แซงคิวคนอื่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในที่ส่วนตัวก็มีความเป็นกันเอง สงบ และสำรวม พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนรู้กาลเทศะ และเป็นเช่นนั้นเสมอในทุกๆ ที่
รู้วิธีปฏิบัติตัวให้ดูน่ารัก และมีเสน่ห์ในสายตาคนอื่น หากใครทำได้ รับรองว่า จะมีคนรักคุณขึ้นอีกเป็นกองเลย

พระราชดำรัสในหลวง เรื่อง ความสามัคคี

ภายหลังกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำการบุกสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงมีการบุกยึดสถานที่ราชการของกรุงเทพมหานคร การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และถนนสายหลักสำคัญอีกหลายแห่งนั้น ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไทย ณ เวลานี้วุ่นวายไปหมด สำคัญสาเหตุสำคัญๆ ที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้คงเป็นเพราะคนในชาติเกิดความเห็นแยกแตก คิดเห็นแตกต่าง และที่สำคัญคือการขาดความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งผลของการขาดความสามัคคีของคนในชาตินี้ส่งผลกระทบต่อเมืองไทยแน่นอน
อย่างไรก็ตามวันนี้เราจึงขอยกตัวอย่าง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ มุ่งให้คนไทยมีความรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานสามัคคี มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง คงความเป็นชาติไทยไว้ได้ ดังความตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารรักษาพระองค์ในพิธีตรวจพลสวนสนาม เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม 2512 ว่า
" . . . ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเราแต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกำจัดและป้องกันภัยต่างๆ มิให้ทำอันตรายแก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้าย บุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ขอให้ทุกคนสำนึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลงเมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้นอกจาก ตัวเราเอง..."
และกระแสพระราชดำรัส ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2494 ดังความตอนหนึ่งว่า " . . . ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัสประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ เป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้"

แบบทดสอบ ความรัก

วันนี้เรามีแบบทดสอบความรักมาฝากค่ะ … ก่อนอื่นเรามี คนอยู่ 7 ประเภท 7 แบบให้คุณเลือก ว่าคุณจะเลือกคนแบบไหน (เลือกก่อนค่อยดูเฉลยนะคะ)
คนที่ 1
คือ คนที่เรารักเค้าและรอคอยเค้ามาตลอดเวลาแม้ว่าเค้าจะเคยนอกใจเรา แต่ตอนนี้เค้ากลับมาหาเรา และบอกกับเราว่า เค้าเป็นแค่คนธรรมดา แฟนเก่าเค้าชอบเค้าตรงที่เค้าเด่น ไม่ได้ชอบที่ตัวของเค้าเค้าเลยเลิกแล้ว แล้วเค้าก็มาบอกเราว่า ในที่สุดเค้าก็รู้ว่ามีอีกคนนอกจากพ่อและแม่แล้วที่รักเค้าคนๆ นั้นก็คือเรา
คนที่ 2
คือ คนที่ดูแลเราตลอดเวลาห่วงใยเราตลอด แต่เราเห็นเค้าเป็นเพื่อนเท่านั้น แต่เค้าดีแสนดีเหลือเกินเค้าเป็นคนดีมากๆ ห่วงเรามากๆ และสนิทกับเรามากๆ
คนที่ 3
คือ บุคคลภายนอกที่อยากรู้จักเรา เค้ารู้จักเราโดยการแนะนำให้รู้จักกัน เค้าเรียนเก่งมากๆ นิสัยดี และเป็นสุภาพบุรุษเกรงใจเราเสมอ
คนที่ 4
คือ เพื่อนของพี่ที่มารู้จักกับเราโดยบังเอิญ เค้าโทรมาหาเราทุกวัน พูดเก่งมากจนลิงหลับได้เลย บางครั้งก็อยากคุยกับเค้าบางครั้งก็ไม่อยากคุย เค้าเป็นคนที่มีตระกูลดีมาก รวยมาก การศึกษาดีสุดๆ
คนที่ 5
คือ คนที่เก็บอารมณ์เก่งมาก นิ่งสุดๆ จนเราดูไม่ค่อยออกเลยว่า เค้าคิดกับเราอย่างไรกันแน่ บางทีก็ใช่บางทีก็ไม่ใช่ แต่พวกเพื่อนเราก็ลุ้นเค้าอยู่นะ
คนที่ 6 คือ คนที่เราแอบชอบเป็นคนดังในสังคม หล่อๆๆๆๆๆ และหล่อ
คนที่ 7 คือ เพื่อนที่ห่างไกลเค้าชอบเรามานานมาก และเค้าก็ยังชอบเราอยู่
เลือกก่อนที่จะดูเฉลยด้านล่างนะคะ
ถ้าคุณเลือก . . . คนที่ 1 คุณคือคนที่บูชาในความรักอย่างมาก และพร้อมจะเสียใจเสมอเมื่อเค้าจากไป
คนที่ 2 คุณควรจะมีเพื่อนที่ดีมากกว่ามีแฟน
คนที่ 3
คุณชอบมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก และชอบค้นหาผู้คนใหม่ๆ
คนที่ 4
คุณชอบคุยโทรศัพท์ แต่มันก็แล้วแต่อารมณ์ของคุณ อารมณ์คุณมักจะขึ้นๆ ลงๆ เสมอ
คนที่ 5
คุณเป็นคนเปิดเผยมากๆ ที่จะคุยกับเค้า
คนที่ 6
คุณเป็นคนที่ชอบตามกระแส ไม่ยึดติดและไม่ค่อยจริงใจ
คนที่ 7 คุณชอบความมั่นคงทางความรัก มากกว่าหัวใจตัวเอง

7 ท่าเพิ่มพลังหัวใจ

ด้วยสภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียดมากขึ้น การออกกำลังกายน้อยลง ทำให้โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ ของคนไทย วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือการออกกำลังแบบต่อเนื่อง (ออกกำลังกายให้รู้สึกเหนื่อยแต่ยังพูดคุยได้) นอกจากการวิ่ง ว่ายน้ำ และขี่จักรยานแล้ว การบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายยังเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้หัวใจคุณแข็งแรงขึ้น แถมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ถึงร้อยละ10 ไขมันลดลง และกล้ามเนื้อกระชับ
ก่อนออกกำลังกายควรยืดหยุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที และออกกำลังครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่าง น้อย ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะเป็นการออกกำลังกายที่มีผลดีต่อหัวใจคุณมากที่สุด
1. ท่านั่งพิงกำแพง
ยืนเอนหลังพิงกำแพง โดยให้เท้าทั้งสองข้างห่างจากกำแพงพอประมาณ ค่อยๆ ย่อตัวลงช้าๆ เหมือนกำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ จนหัวเข่าทำมุมตั้งฉากและขยับเท้าให้พอดีเพื่อไม่ให้หัวเข่ายื่นเลยนิ้วเท้า หลังตรงพิงกำแพงค้างไว้ 20-30วินาที
2. ท่ายกขาด้านนอก
ใช้เบาะหรือผ้าปูพื้นเพื่อกันลื่น จากนั้นนอนตะแคงด้านซ้าย ใช้มือซ้ายรองศีรษะไว้ วางมือขวายันพื้นด้านหน้าเพื่อการทรงตัว เกร็งกล้ามเนื้อท้องจากนั้นยกขาขวาขึ้น 45 องศาแล้ววางลง พยายามให้สะโพกด้านบนและล่างเป็นแนวเดียวกัน อย่าให้ตัวเอนขณะยกขา ทำ 8-12 ครั้ง หรือเท่าที่ทำได้ ทำสลับอีกข้าง
3. ท่ายกขาด้านใน
นอนตะแคงซ้ายเช่นเดียวกับท่าที่ 2 จากนั้นเหยียดขาซ้ายให้ตรง ไขว้ขาขวามาด้านหน้าขาซ้าย จากนั้นใช้มือขวาจับข้อเท้าขวาไว้ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วยกขาซ้ายขึ้นประมาณ30-45 องศา หรือเท่าที่ทำได้แล้ววางลง ทำอย่างช้าๆ จำนวน 8-12 ครั้ง ทำสลับอีกข้าง
4. ท่าวิดพื้นประยุกต์
เริ่มจากนอนคว่ำ วางมือทั้งสองข้างลำตัว บริเวณหน้าอกให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ยกปลายเท้าทั้งสองข้างขึ้นโดยให้หัวเข่าทั้งสองข้างแตะพื้น หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นหายใจออกค่อยๆเหยียดแขนขึ้นเพื่อยกลำตัว หายใจเข้าลดลำตัวลงให้ขนานกับพื้น พยายามให้หลังตรงขณะทำท่า หากไม่ถนัดสามารถวางปลายเท้าลงกับพื้นได้ ทำ 5-12 ครั้ง ท่านี้ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับหลังควรปรึกษาแพทย์
5. ท่ายืดสะโพก
เริ่มจากคุกเข่า วางข้อศอกกับพื้นให้แขนตั้งฉาก จากนั้นยกขาขวาขึ้นช้าๆ งอเข่าทำมุม 90 องศาโดยหงายฝ่าเท้าขึ้นไปทางเพดาน แล้วค่อยๆ ลดขาลงกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำข้างละ 8-12 ครั้ง
6. ท่าเกร็งหน้าท้อง
นอนหงาย มือทั้งสองข้างประสานไว้ใต้ศีรษะ จากนั้นค่อยๆยกขาและสะโพกขึ้น แล้วงอเข่าให้ตั้งฉากกับพื้นค้างไว้ ยกศีรษะหน้าอกและไหล่ขึ้นช้าๆ พยายามให้ต้นขาตรงไม่เอนไปมา จากนั้นค่อยๆ วางศีรษะและขาลงกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำ8-12 ครั้ง
7. ท่าซูเปอร์แมน นอนคว่ำยืดแขนทั้งสองข้างไปด้านหน้า สะโพกราบกับพื้น จากนั้นเกร็งหน้าท้องยกแขนขวาและขาซ้ายขึ้นพร้อมๆกันลดลง แล้วยกแขนซ้ายและขาขวาขึ้น วางลงทำสลับกันไปมา 8-12 ครั้ง จากนั้นหยุดพักเพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายร่างกายอีก 5 – 10 นาที
Tips ท่าเหล่านี้นอกจะช่วยหัวใจคุณแข็งแรงแล้วยังมีประโยชน์ต่อไหล่ หลัง และขาด้วย การยืด งอ ข้อและกล้ามเนื้อต่างๆ เช่น ไทเก็ก จี้กง โยคะ เป็นการออกกำลังที่เหมาะกับผู้สูงอายุ การเดินขึ้นลงบันไดโดยไม่ใช้ลิฟต์จะช่วยให้ร่างกายและหัวใจของคุณแข็งแรงขึ้น